Vitamin D ดีอย่างไร
ปัจจุบันคนในสังคมให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพมากขึ้น โดยเฉพาะการดูแลด้านอาหารและการเสริมด้วยวิตามิน แต่โดยส่วนใหญ่จะเลือกทานวิตามินที่เน้นดูแลสุขภาพโดยรวมและด้านผิวพรรณเป็นหลัก และมีวิตามินชนิดหนึ่งที่หลายคนหลงลืมจนไม่ให้ความสำคัญ หรือคิดว่ามีประโยชน์แค่เป็นส่วนเสริมด้านกระดูกเท่านั้น นั่นก็คือ วิตามินดี (Vitamin D) วิตามินที่กำลังจะกล่าวถึงในที่นี้ เพราะเป็นวิตามินที่ดีและมีคุณค่ากับสุขภาพในหลาย ๆ ด้าน มาเจาะลึกทำความรู้จักกับ Vitamin D ว่า ดีอย่างไร มีประโยชน์เพียงใดกับร่างกาย
วิตามินดี ดีกับสุขภาพ
วิตามินดีมีความสำคัญกับสุขภาพ ทำหน้าที่ในการดูดซึมแคลเซียม ช่วยให้แคลเซียมที่รับประทานถูกดูดซึมได้ดีมากขึ้น ซึ่งแคลเซียมของคนเรามีความสำคัญกับกระดูกในร่างกาย แคลเซียมช่วยให้กระดูกแข็งแรง นอกจากนี้ วิตามินดียังมีความสำคัญในการเสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายอีกด้วย
การได้รับวิตามินดี
วิตามินดี เป็นวิตามินที่ร่างกายสามารถสร้างได้เอง โดยถูกกระตุ้นจากแสงแดด ดังนั้นแหล่งที่เราสามารถรับวิตามินดีได้ก็คือการได้รับแสงแดด คนเราจึงควรได้รับแสงแดดเพื่อป้องกันการขาดวิตามินดี นอกจากนี้ วิตามินดี พบได้ในอาหาร เช่น ปลาที่มีไขมันสูง ไข่แดง นม และเมล็ดธัญพืช
หากมองกันในภาพรวมคนเราไม่ควรจะขาดวิตามินดีได้เลย เพราะทุกคนต่างก็สามารถได้รับแสงแดดกันได้ทุกคน โดยเฉพาะประเทศไทยเรา ที่มีแสงแดดตั้งแต่เช้าถึงเย็นแทบจะทุกวัน แต่ด้วยรูปแบบการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป และมีคนจำนวนมากที่พยายามหลบเลี่ยงแสงแดด จึงเป็นเหตุผลทำให้ขาดวิตามินดีกันมาก และแน่นอนว่า เมื่อร่างกายขาดวิตามินดี ย่อมส่งผลกับสุขภาพทั้งเรื่องกระดูกและภูมิต้านทาน ซึ่งการที่จะทราบว่าร่างกายขาดวิตามินดีหรือไม่ ต้องใช้วิธีการตรวจเลือดเพื่อดูระดับวิตามินดี วัดจากระดับของ 25-hydroxy-vitamin D โดยระดับวิตามินดีในเลือดค่าปกติคือ มากกว่า 30-50 ng/mL
คนเราควรได้รับวิตามินดี
ปริมาณวิตามินดีที่ร่างกายควรได้รับจะขึ้นกับแต่ละบุคคลและในแต่ละช่วงวัย ร่างกายคนเราจะมีการนำวิตามินดีไปใช้ในแต่ละวันเฉลี่ย 50-60 ng/mL ดังนั้น เพื่อป้องกันการขาดวิตามินดี เราจึงควรดูแลตนเองด้วยวิธีต่าง ๆ ดังนี้
- ให้ร่างกายได้ออกไปสัมผัสแสงแดดอ่อน ๆ ทุกวัน ในช่วงเช้าหรือเย็น
- รับประทานอาหารที่มีวิตามินดี
- เสริมวิตามินดีให้กับร่างกาย ที่มีทั้งรูปแบบรับประทานและแบบฉีด
เสริมวิตามินดีอย่างเหมาะสม
การตรวจร่างกายเพื่อดูระดับวิตามินดีว่าขาดหรือไม่ นับเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก ดังนั้น อย่างน้อยในแต่ละปีควรมีการตรวจเพื่อดูระดับวิตามินดีในร่างกาย 1 ครั้ง เพราะถ้าขาดวิตามินจะได้เสริมให้เพียงพอ และในปัจจุบันจากผู้เข้ารับบริการที่มารับการตรวจและขาดวิตามินดีที่พบนั้น ไม่ได้จำกัดอยู่ในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือช่วงอายุใดเท่านั้น แต่พบว่าคนส่วนใหญ่ขาดวิตามินดี โดยพบตั้งแต่ผู้ที่อายุน้อย ๆ ทั้งวัยรุ่น วัยทำงานเลยทีเดียว
การเสริมวิตามินดีด้วยวิตามิน แพทย์จะทำการตรวจเลือดอย่างละเอียด พร้อมพิจารณาถึงความผิดปกติของไตร่วมด้วยก่อนให้วิตามินเสมอ เพราะในผู้ป่วยโรคตับและโรคไต จะต้องตรวจเพิ่มเติมถึงความเหมาะสมในการเสริมวิตามินดี อีกทั้งส่วนที่เสริมจะเป็นรูปแบบเฉพาะ ซึ่งแตกต่างจากแบบฉีดและแบบรับประทานในบุคคลทั่วไป
เสริมวิตามินดีกับกายคตา วิตามินดีที่เราเสริมให้นั้นคือ โคเลแคลซิเฟอรอล วิตามินดี 3 (Cholecalciferol Vitamin D 3) ซึ่งมีด้วยกัน 2 แบบ ได้แก่
- การเสริมวิตามินดีแบบชนิดรับประทาน ปริมาณที่ควรได้รับแพทย์จะพิจารณาเป็นรายบุคคล แต่โดยเฉลี่ยผู้ใหญ่ควรรับประทานประมาณ 5,000-10,000 IU และหลังรับประทานจะมีการเจาะเลือดตรวจเป็นระยะประมาณ 3 เดือน/ครั้ง เพื่อดูว่าร่างกายสามารถดูดซึมวิตามินดีได้มากน้อยเพียงใด
- การเสริมวิตามินดีแบบชนิดฉีดโดยจะฉีดเข้ากล้ามเนื้อบริเวณสะโพก 1 ครั้ง/เดือน ฉีดติดต่อกัน 3 เดือน โดยปริมาณวิตามินดีในแต่ละเข็มที่ฉีดปริมาณ 300,000 IU
- จุดเด่นวิตามินดีแบบชนิดฉีด
- คือ การเสริมวิตามินดีแบบฉีด ร่างกายจะสามารถดูดซึมวิตามินได้ดีและเร็วกว่าแบบรับประทาน
- ฉีดเพียง 3 ครั้ง ก็เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายที่ต้องใช้โดยเฉลี่ยตลอดทั้งปี
- จุดเด่นวิตามินดีแบบชนิดฉีด
การดูแลสุขภาพ คือ สิ่งสำคัญในชีวิตของทุกคน เพราะเราคงไม่มีชีวิตที่มีความสุขถ้าร่างกายเจ็บป่วยด้วยโรคภัย ดังนั้นสิ่งใดที่จะช่วยให้ร่างกายมีความแข็งแรง มีสุขภาพที่ดี เราทุกคนก็ควรอย่าละเลยการดูแลสุขภาพ เพราะสุขภาพดี = การมีชีวิตที่ดี
..............................